ประกันชดเชยรายได้ เมืองไทยประกันชีวิต ประกันสุขภาพ


ประกันชดเชยรายได้ เมืองไทยประกันชีวิต ประกันสุขภาพ คลายสงสัย…ลดหย่อนภาษีสูงสุด 300,000 บาท ภาษี พูดถึงเรื่องลดหย่อนภาษี เราคุ้นเคยกันดีกับการยื่นสิทธิลดหย่อนภาษีจากเบี้ยประกันชีวิตทั่วไปใน 100,000 บาทแรก และเมื่อใช้เต็มสิทธิแล้วก็จบกันไป ไม่ค่อยได้สนใจสิทธิลดหย่อนภาษีอีก

200,000 บาท ทั้งที่ความจริงแล้ว ยังมีอีกหนึ่งตัวช่วยในการขอสิทธิลดหย่อนภาษีให้ครบถ้วนเต็มที่ 300,000 บาท อย่างประกันชีวิตแบบบำนาญ หลายคนอาจไม่ค่อยคุ้นเคยเท่าไหร่ หรือคิดไปว่าค่อยซื้อตอนใกล้เกษียณอายุก็ยังทัน แต่เชื่อเถอะ ว่านี่ถือเป็นอีกหนึ่งแบบประกันที่ให้มากกว่าความคุ้มครอง พร้อมสิทธิประโยชน์มากมาย มาดูกันว่า ประกันชีวิตแบบบำนาญสามารถใช้สิทธิลดหย่อนภาษีได้ยังไงบ้าง เมืองไทยประกันชีวิตมีข้อมูลดีๆ มาฝากเช่นเคย

ประกันชีวิตแบบบำนาญคืออะไร? และสามารถใช้สิทธิลดหย่อนภาษียังไงบ้าง?
ประกันชีวิตแบบบำนาญ คือแบบประกันที่เน้นผลตอบแทนมากกว่าความคุ้มครอง ซึ่งมีความคล้ายคลึงกับแบบประกันสะสมทรัพย์ที่เราคุ้นเคย แต่ความแตกต่างคือประกันสะสมทรัพย์จะจ่ายผลตอบแทนเราในรูปแบบของ “เงินคืน” ซึ่งจะเป็นการทยอยจ่ายคืนให้ระหว่างสัญญา แต่ประกันชีวิตแบบบำนาญ จะไม่มีเงินคืนให้ในช่วงที่อายุยังน้อย แต่จะจ่ายคืนให้เป็นรูปแบบของ “เงินบำนาญ” ทุกๆปี หรือทุกๆเดือน ตั้งแต่เริ่มเกษียณ (อายุ 55 ปีเป็นต้นไป) จนถึงอายุที่ระบุเอาไว้ในกรมธรรม์ ซึ่งสามารถใช้สิทธิลดหย่อนภาษีได้ ตามที่จ่ายจริง สูงสุดไม่เกิน15% ของเงินได้ แต่ไม่เกิน 200,000 บาท และเงื่อนไขของประกันชีวิตแบบบำนาญในการยื่นลดหย่อนภาษี มีดังนี้

ต้องเป็นประกันชีวิตแบบบำนาญที่มีระยะเวลาคุ้มครองตั้งแต่ 10 ปีขึ้นไป
ต้องเป็นประกันชีวิตแบบบำนาญที่มีวงเล็บด้านหลังว่า “บำนาญแบบลดหย่อนได้”
ผลประโยชน์จะเริ่มจ่ายเมื่ออายุตั้งแต่ 55 ปีขึ้นไป – จนถึงอายุ 85 ปี หรือมากกว่านั้น
ไม่มีการจ่ายผลประโยชน์อื่นใดก่อนรับเงินบำนาญ ยกเว้นผลประโยชน์กรณีเสียชีวิต
ไม่มีการจ่ายผลประโยชน์อื่นใด ณ วันครบกำหนดชำระเบี้ยประกันภัย หรือวันครบรอบปีกรมธรรม์ประกันภัยปีสุดท้ายก่อนรับเงินบำนาญ

การจ่ายผลประโยชน์เงินบำนาญในช่วงรับบำนาญต้องกำหนดจ่ายผลประโยชน์อย่างสม่ำเสมอ เช่น รายปี รายเดือน เป็นต้นต้องทำประกันกับบริษัทประกันชีวิตที่ประกอบกิจการในประเทศไทยเท่านั้น
ทั้งนี้ เมื่อนำไปรวมกับเงินสะสมเข้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ประกันชดเชยรายได้ เงินสะสมเข้ากองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ เงินสะสมเข้ากองทุนสงเคราะห์ครูโรงเรียนเอกชน เงินที่ซื้อหน่วยลงทุนในกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) เงินที่ซื้อหน่วยลงทุนในกองทุนรวมเพื่อการออม (SSF) และเงินสะสมเข้ากองทุนการออมแห่งชาติแล้ว ต้องไม่เกิน 500,000 บาท โดยการใช้สิทธิลดหย่อนภาษีด้วยเบี้ยประกันชีวิตแบบบำนาญนั้น สามารถทำได้ 3 วิธีด้วยกัน

ลดหย่อนภาษี 200,000 บาทหลัง คู่กับสิทธิลดหย่อนภาษี 100,000 บาทแรก

แบบที่ 1 : ใช้สิทธิลดหย่อนภาษี 200,000 บาทหลัง คู่กับสิทธิลดหย่อนภาษี 100,000 บาทแรก

โดยปกติเราคุ้นเคยกับการใช้สิทธิลดหย่อนภาษีจากเบี้ยประกันชีวิตทั่วไป และประกันชีวิตและสุขภาพรวมกัน เพื่อขอลดหย่อนภาษีในสิทธิ 100,000 บาท ซึ่งถ้ารวมกับเบี้ยประกันชีวิตแบบบำนาญ (แบบลดหย่อนภาษีได้) ที่ใช้ลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 200,000 บาทแล้ว เราก็จะสามารถใช้สิทธิได้สูงสุดถึง 300,000 บาท แต่ในกรณีนี้มีข้อแม้ว่า การใช้สิทธิลดหย่อนเบี้ยประกันชีวิตแบบบำนาญต้องไม่เกิน 15% ของเงินได้ รู้แบบนี้แล้ว ลองหาแบบประกันบำนาญที่เหมาะกับเรา แล้วสมัครเพื่อรับทั้งความคุ้มครองและผลประโยชน์กันดีกว่า

หากไม่ได้ใช้สิทธิลดหย่อนเบี้ยประกันชีวิตทั่วไป สามารถใช้สิทธิลดหย่อนเบี้ยประกันชีวิตแบบบำนาญได้สูงสุด 300,000 บาท

แบบที่ 2 : หากไม่ได้ใช้สิทธิลดหย่อนเบี้ยประกันชีวิตทั่วไป สามารถใช้สิทธิลดหย่อนเบี้ยประกันชีวิตแบบบำนาญได้สูงสุด 300,000 บาท

สำหรับใครที่ยังสงสัย ไม่มีประกันชีวิตหรือประกันสุขภาพ แต่สนใจอยากซื้อแบบประกันชีวิตแบบบำนาญไว้เพื่อลดหย่อนภาษี สามารถทำได้หรือไม่? คำตอบคือสามารถทำได้ และสามารถนำเบี้ยของประกันชีวิตแบบบำนาญไปหักลดหย่อนภาษีเพียงอย่างเดียวได้สูงสุดถึง 300,000 บาท นั่นคือใช้สิทธิลดหย่อนภาษีทั้งในส่วนของ 100,000 บาทแรก และ 200,000 บาทหลัง ซึ่งหากรวมกับสิทธิลดหย่อนในส่วนอื่นๆ แล้ว ก็จะทำให้เราได้รับผลประโยชน์ที่น่าพอใจมากขึ้นอีกด้วย

ใช้สิทธิลดหย่อนทั้งในส่วนของ 100,000 บาทแรก และสิทธิลดหย่อน 200,000 บาทหลัง

แบบที่ 3 : ใช้สิทธิลดหย่อนทั้งในส่วนของ 100,000 บาทแรก และสิทธิลดหย่อน 200,000 บาทหลัง

ถ้าประกันชีวิตทั่วไปที่เรามี ใช้สิทธิลดหย่อนแล้วยังไม่ครบ 100,000 บาทแรก เราสามารถนำเบี้ยของประกันชีวิตแบบบำนาญขอลดหย่อนรวมเข้าไปในส่วนนี้ได้ และยังสามารถนำมาขอสิทธิลดหย่อนภาษีในส่วนของ 200,000 บาทหลัง ของเบี้ยประกันชีวิตแบบบำนาญได้ในจำนวนเต็มอีกเช่นกัน ถือเป็นอีกหนึ่งความคุ้มค่า ที่ให้เราได้รับทั้งความคุ้มครอง และผลประโยชน์ระยะยาวหลังเกษียณ

นอกจากเรื่องผลตอบแทนในรูปแบบเงินบำนาญในช่วงเกษียณแล้ว ประกันชีวิตแบบบำนาญ (แบบลดหย่อนภาษีได้) ก็ยังสามารถใช้สิทธิขอลดหย่อนภาษีได้อีกด้วย และหากเราอยากได้รับผลประโยชน์ต่างๆ ได้เต็มประสิทธิภาพ ก็ควรเริ่มต้นวางแผนเอาไว้แต่เนิ่นๆ จะได้ลดความเสี่ยงเรื่องของการเงินในชีวิตบั้นปลาย ทั้งยังสามารถเลือกรับความคุ้มครองที่ตรงใจ ตรงกับเป้าหมายในอนาคตที่เราวางไว้ เมืองไทยประกันชีวิตจึงขอแนะนำ โครงการเมืองไทย รีเทิร์น รีไทร์ ที่สามารถใช้สิทธิลดหย่อนภาษีได้ ทั้งยังการันตีรายได้หลังเกษียณแม้ไม่ได้ทำงาน จ่ายเบี้ยสั้นเพียง 5 ปี ก็มีเงินบำนาญใช้ไปจนถึงอายุ 85 ปี ปีละ 20%(1) รวมสูงสุด 520%(1) พร้อมคุ้มครองชีวิตในช่วงก่อนเกษียณสูงสุด 150%(2) รีไทร์อุ่นใจ เพราะได้รีเทิร์นแบบชัวร์ๆ มีเงินใช้หลังเกษียณทุกปี
(1) เป็น % ของจำนวนเงินเอาประกันภัย ณ วันเริ่มสัญญา
(2) เป็น % ของเบี้ยประกันภัยที่ชำระมาแล้ว

หมายเหตุ

ความคุ้มครองของสัญญาเพิ่มเติมต้องไม่เกินระยะเวลาเอาประกันภัยของกรมธรรม์ประกันชีวิตที่สัญญาเพิ่มเติมนี้แนบท้าย
การพิจารณารับประกันภัยเป็นไปตามหลักเกณฑ์ของบริษัทฯ

เบี้ยประกันภัยสามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้ ทั้งนี้ หลักเกณฑ์เป็นไปตามที่กรมสรรพากร กำหนด
โปรดศึกษารายละเอียดความคุ้มครองและข้อยกเว้นก่อนตัดสินใจทำประกันภัย

นางจันทรา บูรณฤกษ์ อธิบดีกรมการประกันภัย เปิดเผยว่า ตามที่ได้เกิดเพลิงไหม้โรงงานยางแผ่นรมควันของบริษัท บีไลท์รับเบอร์ จำกัด ตั้งอยู่ที่หมู่ 1 บ้านห้วยโอน ตำบลกำแพงเพชร อำเภอรัตภูมิ จังหวัดสงขลา เมื่อวันที่ 23 มิถุนายน 2550 เวลาประมาณ 13.00 น. นั้น ได้สั่งการให้ตรวจสอบการทำประกันภัยทรัพย์สินดังกล่าว ในเบื้องต้นทราบว่า บริษัท บีไลท์รับเบอร์ จำกัด มีการทำประกันภัยทรัพย์สินรวม 662,890,000 บาท โดยมีบริษัทที่รับประกันภัยร่วมกัน 4 บริษัท ดังนี้

1. บริษัท เทเวศประกันภัย จำกัด (มหาชน) รับเสี่ยงภัยร้อยละ 40

2. บริษัท ไทยพาณิชย์สามัคคีประกันภัย จำกัด (มหาชน) รับเสี่ยงภัยร้อยละ 25

3. บริษัท แอกซ่าประกันภัย จำกัด (มหาชน) รับเสี่ยงภัยร้อยละ 20

4. บริษัท ศรีอยุธยาประกันภัย จำกัด (มหาชน) รับเสี่ยงภัยร้อยละ 15

สำหรับทรัพย์สินที่เกิดไฟไหม้เป็นอาคารโกดังเก็บสต๊อกสินค้า ซึ่งได้รับรายงานว่าเสียหายสิ้นเชิงจำนวน 1 หลัง โดยกรมธรรม์ให้ความคุ้มครองโกดังที่เกิดเหตุ ดังนี้

– อาคารโกดัง จำนวนเงินเอาประกันภัย 15 ล้านบาท

– สต๊อกสินค้าในโกดัง จำนวนเงินเอาประกันภัย 150 ล้านบาท

กรมการประกันภัยได้ประสานงานให้บริษัทที่ร่วมรับประกันภัยเร่งรัดสำรวจและประเมินค่าเสียหายเพื่อชดใช้ค่าสินไหมทดแทนที่เหมาะสมและเป็นธรรมต่อไป ส่วนสาเหตุของเพลิงไหม้อยู่ระหว่างการสอบสวนของพนักงานสอบสวน

นางจันทรา บูรณฤกษ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า เป็นที่น่าเสียใจที่เกิดเหตุการณ์ไฟไหม้ ซึ่งทำให้เกิดความเสียหายต่อทรัพย์สิน แต่การที่บริษัท บีไลท์รับเบอร์ จำกัด ได้มีการเอาประกันอัคคีภัยไว้จะทำให้ได้รับการชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามความเสียหายที่แท้จริงแต่ไม่เกินจำนวนเงินเอาประกันภัยทรัพย์สินนั้น อันเป็นการบรรเทาความเดือดร้อนของผู้เอาประกันภัยได้ ดังนั้น หากประชาชนหรือผู้ประกอบการจะทำประกันภัยแล้ว ขอได้โปรดพิจารณาทำประกันภัยให้ครอบคลุมความเสี่ยงภัยที่มี เช่น กรณีเหตุที่เกิดขึ้นกับสต๊อกสินค้าของบริษัท บีไลท์รับเบอร์ จำกัด ซึ่งหากเป็นสต๊อกของสินค้าที่รอการส่งออกแล้ว นอกจากจะทำประกันอัคคีภัยแล้วควรคำนึงถึงความเสี่ยงภัยกรณีที่จะถูกผู้ซื้อสินค้าเรียกเงินค่าเสียหายจากการผิดนัดส่งสินค้าด้วย เป็นต้น จึงขอเชิญชวนให้ประชาชนได้ศึกษาถึงประโยชน์ของการประกันภัยและสามารถเลือกความคุ้มครองของการประกันภัยแต่ละประเภทให้เหมาะสมกับความเสี่ยงภัยที่มี อันจะเป็นการนำการประกันภัยเป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้างความมั่นคงทางการเงินให้แก่ตนเอง และหากผู้เอาประกันภัยหรือประชาชนทั่วไปมีปัญหาข้อสงสัย หรือต้องการปรึกษาเรื่องที่เกี่ยวกับการประกันภัย ขอให้สอบถามได้ที่โทรศัพท์ 0-2547-4548 หรือสายด่วนประกันภัย 1186

นางจันทรา บูรณฤกษ์ อธิบดีกรมการประกันภัย เปิดเผยว่า ผลการดำเนินการตามนโยบายของกรรมการประกันภัยด้านการรับเสี่ยงภัยไว้ในประเทศ ที่กำหนดให้บริษัทประกันวินาศภัยรับเสี่ยงภัยไว้เองหรือเอาประกันภัยต่อในประเทศ สำหรับการประกันวินาศภัยที่มีอัตราความเสียหายต่ำ ได้แก่ การประกันอัคคีภัย และการประกันภัยความเสี่ยงภัยทรัพย์สิน หรือการประกันภัยใด ๆ ที่ให้ความคุ้มครองเกี่ยวกับอัคคีภัย ที่จำนวนเงินเอาประกันภัย 20 ล้านบาทต่อกรมธรรม์ การประกันภัยทางทะเลและการขนส่ง (สินค้า) ที่จำนวนเงินเอาประกันภัย 4 ล้านบาทต่อกรมธรรม์ และการประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล ที่จำนวนเงินเอาประกันภัย 1 ล้านบาทต่อกรมธรรม์ นั้น ปรากฏว่าใน ปี 2549 บริษัทประกันวินาศภัยได้ดำเนินการตามนโยบายดังกล่าว โดยรับประกันภัยเป็นจำนวน 3,404,278 ราย มีเบี้ยประกันภัยที่รับเสี่ยงภัยไว้ในประเทศ 15,253.74 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 67.66 ของเบี้ยประกันภัยรับโดยตรง ที่มีจำนวน 22,546.07 ล้านบาท เบี้ยประกันภัยที่รับเสี่ยงภัยไว้ในประเทศจำนวนดังกล่าวได้เพิ่มขึ้นจากปี 2548 เป็นจำนวน 682.11 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น ร้อยละ 4.68 นอกจากนี้ผลการดำเนินการไตรมาสที่ 1 ปี 2550 มีการรับประกันภัยเป็นจำนวน 844,452 ราย มีเบี้ยประกันภัยที่รับเสี่ยงภัยไว้ในประเทศ 4,415.52 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 66.75 ของเบี้ยประกันภัยรับโดยตรงที่มีจำนวน 6,615.16 ล้านบาท เบี้ยประกันภัยที่รับเสี่ยงภัยไว้ในประเทศจำนวนดังกล่าวได้เพิ่มขึ้นจากช่วงระยะเวลาเดียวกันของปี 2549 เป็นจำนวน 351.90 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 8.66

นางจันทรา บูรณฤกษ์ ได้กล่าวเพิ่มเติมว่า ผลการดำเนินการตามนโยบายการรับเสี่ยงภัยไว้ในประเทศนับว่าประสบผลสำเร็จในระดับหนึ่ง แม้ว่าประเทศจะประสบกับปัญหาทางด้านเศรษฐกิจและการเมืองในรอบปีที่ผ่านมา แต่มีผลกระทบต่อธุรกิจประกันวินาศภัยไม่มมากนัก เนื่องจากอัตราการเพิ่มขึ้นของเบี้ยประกันภัยรับโดยตรง และเบี้ยประกันภัยที่รับเสี่ยงภัยไว้ในประเทศ ยังคงมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง สำหรับในรอบปี 2550 คาดว่านโยบายการรับเสี่ยงภัยไว้ในประเทศจะทำให้มีการสงวนเงินตราไว้ในประเทศเพิ่มขึ้นอีก ผู้สนใจสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่กรมการประกันภัย โทรศัพท์ 0-2547-4542

จากเหตุการณ์ชิงทรัพย์และปล้นทรัพย์ร้านค้าทองที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งในระยะนี้ อันนำมาซึ่งความสูญเสียต่อทรัพย์สินและชีวิตของเจ้าของร้าน ลูกจ้าง และผู้ประสบเหตุ จนทำให้ผู้ประกอบการร้านทองต้องหันมาให้วิธีการต่างๆเพื่อปกป้องชีวิตและทรัพย์สินของตนเองนั้น

กรมการประกันภัย ได้ตระหนักและห่วงใยถึงความเดือดร้อนของกลุ่มผู้ประกอบการร้านทองเป็นอย่างมาก จึงได้ร่วมมือกับสมาคมประกันวินาศภัย โดยคณะอนุกรรมการประกันภัยเบ็ดเตล็ด และบริษัทประกันวินาศภัย พิจารณาหาแนวทางในการจัดทำกรมธรรม์ประกันภัยร้านทอง เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ประกอบการร้านทอง โดยนำรูปแบบกรมธรรม์ประกันภัยพิทักษ์ร้านทองและอัตราเบี้ยประกันภัยที่ใช้อยู่ในปัจจุบันที่ให้ความคุ้มครองแบบรวม (Package) ซึ่งให้ความคุ้มครองความเสียหายต่อทองคำ ความเสียหายต่อทรัพย์สินอื่นๆ และค่ารักษาพยาบาลและเงินชดเชยกรณีเสียชีวิตของ ผู้เอาประกันภัยมาเป็นต้นแบบ

นางจันทรา บูรณฤกษ์ อธิบดีกรมการประกันภัย เปิดเผยว่า ปัจจุบันนี้มีสมาคมค้าทองคำ ซึ่งประกอบด้วยสมาชิก จำนวน 894 ราย ร้านทองที่ไม่เป็นสมาชิกของสมาคมฯอีกประมาณ 10,000 รายต้องเผชิญความเสี่ยงภัยต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้น กรมฯ จึงได้เชิญสมาคมค้าทองคำ สมาคมประกันวินาศภัย บริษัท ไทยรับประกันภัยต่อจำกัด (มหาชน) ร่วมประชุมหาแนวทางในการจัดทำกรมธรรม์ประกันภัยร้านทองแบบพิเศษที่ให้ความคุ้มครองตรงกับความต้องการของผู้ประกอบการ สรุปได้ดังนี้

(1) ความเสียหายต่อทองคำที่มีไว้เพื่อจำหน่ายอันเกิดจากการชิงทรัพย์หรือ ปล้นทรัพย์ภายในสถานที่เอาประกันภัย โดยกำหนดอัตราเบี้ยประกันภัยอยู่ระหว่าง 0.90%-1.10% ของจำนวนเงินเอาประกันภัย

(2) ความเสียหายต่อตัวอาคาร ตู้นิรภัย กระจก เฟอร์นิเจอร์ เครื่องตกแต่งติดตั้ง ตรึงตรา เครื่องใช้และอุปกรณ์ไฟฟ้าต่างๆ ตู้แสดงสินค้าทองคำ เครื่องชั่ง และโทรทัศน์วงจรปิด อันเกิดจากการชิงทรัพย์ ปล้นทรัพย์ หรือวิ่งราวทรัพย์ภายในสถานที่เอาประกันภัย โดยกำหนดอัตราเบี้ยประกันภัยอยู่ระหว่าง 0.05%-3% ของจำนวนเงินเอาประกันภัย

(3) กรณีการเสียชีวิต การสูญเสียอวัยวะ สายตา หรือทุพพลภาพถาวรสิ้นเชิง และ ค่ารักษาพยาบาลของผู้เอาประกันภัย บุคคลในครอบครัว ลูกจ้าง และ/หรือพนักงานรักษาความปลอดภัย และลูกค้าซึ่งเกิดจากการชิงทรัพย์ หรือปล้นทรัพย์ภายในสถานที่เอาประกันภัย โดยกำหนดอัตราเบี้ยประกันภัยอยู่ระหว่าง 0.03%-0.075% ของจำนวนเงินเอาประกันภัย

นางจันทราฯ กล่าวต่อไปว่า ปัจจุบันมีผู้ประกอบการร้านทองทำประกันภัยน้อยมาก ดังนั้น เพื่อเป็นการประชาสัมพันธ์ให้ผู้ประกอบการร้านทองตระหนักถึงความสำคัญของการทำประกันภัย กรมการประกันภัยจะจัดงาน “วันนัดประกันทอง” เพื่อพบปะระหว่างภาคธุรกิจประกันภัย กับผู้ประกอบการร้านค้าทอง ในวันศุกร์ที่ 15 มิถุนายน 2550 เวลา 13.00 -16.30 น. โดยมีรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ (นางอรนุช โอสถานนท์) เป็นประธานเปิดงาน และเชิญผู้ประกอบการ ร้านทองทั่วประเทศ มารับทราบข้อมูลการทำประกันภัยร้านทอง และสามารถซื้อประกันภัยได้จากบริษัทประกันภัยที่มาร่วมงานในราคาพิเศษเฉพาะภายในงานเท่านั้น ณ ห้องประชุมกระทรวงพาณิชย์ ซึ่งต่อไปกรมฯจะขยายกิจกรรมในลักษณะนี้ทั่วทุกภาคในโอกาสต่อไป

กรมการประกันภัย จัดสัมมนาหัวข้อเรื่อง “ทำธุรกิจอย่างมั่นใจ ด้วยประกันภัยครบวงจร” ซึ่งจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อผู้ประกอบการค้าและธุรกิจประกันภัย เพราะเป็นการแลกเปลี่ยนความคิดในประเด็นและปัญหาต่างๆ ร่วมกัน อันจะนำไปสู่การลดต้นทุนในการค้าและสร้างโอกาสทางการค้าขึ้นอีกด้วย

นางจันทรา บูรณฤกษ์ อธิบดีกรมการประกันภัย เปิดเผยว่า เนื่องจากกรมการประกันภัยเล็งเห็นถึงความสำคัญของการประกันภัยที่จะเอื้อประโยชน์ต่อผู้ประกอบการค้าในด้านความมั่นคงต่อธุรกิจ เริ่มจากโรงงาน บุคลากร การขนส่ง ค่าเสียโอกาส ความรับผิดต่างๆ และความเสี่ยงในการเก็บเงินค่าสินค้า อันเป็นวงจรการค้าที่เป็นอยู่ปัจจุบัน ซึ่งหากเกิดความเสียหายขึ้นตอนใดก็จะส่งผลกระทบเสียหายต่อการค้าทั้งระบบ กรมการประกันภัย จึงได้จัดสัมมนาโดยไม่เก็บค่าใช้จ่าย ในหัวข้อเรื่อง “ทำธุรกิจอย่างมั่นใจ ด้วยประกันภัยครบวงจร” ในวันพุธที่ 30 พฤษภาคม 2550 ณ ห้องบอลรูม ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิตต์ ให้แก่ ผู้ประกอบการค้าส่งออก ผู้ประกอบการขนส่ง ธนาคารและสถาบันการเงิน ผู้ประกอบธุรกิจประกันภัย นักวิชาการและหน่วยงานราชการอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อเผยแพร่ความรู้ด้านการประกันภัยให้แก่ผู้เข้าร่วมสัมมนา ให้เข้าใจในความสำคัญของการทำประกันภัยแบบครบวงจรและสามารถนำความรู้ที่ได้ไปใช้ประโยชน์ในหน่วยงานของตน รวมทั้งผู้ประกอบการค้าก็สามารถทำธุรกิจด้วยความมั่นคง มีช่องทางการค้าใหม่โดยอาศัยการประกันภัยเป็นหลักประกันและมีส่วนในการสนับสนุนและส่งเสริมการค้า

อธิบดีกรมการประกันภัย กล่าวเพิ่มเติมว่า การจัดสัมมนา “ทำธุรกิจอย่างมั่นใจ ด้วยการประกันภัยครบวงจร” ดังกล่าวนี้ เป็นการเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการทั้งด้านการประกันภัยและด้านการค้ามาพบกันเพื่อประสานความเข้าใจในธุรกิจร่วมกัน ซึ่งจะช่วยลดปัญหาในการทำประกันภัยอันเนื่องมาจากทำประกันภัยผิดพลาดแล้วไม่อยู่ในเงื่อนไขความคุ้มครอง โดยผู้ประกอบการค้าและธุรกิจที่เกี่ยวข้องสามารถบริหารความเสี่ยงได้อย่างถูกต้องและนำเอาการประกันภัยมาใช้เพื่อเอื้อต่อการทำธุรกิจของตน อีกทั้งยังเป็นการส่งเสริมให้มีการลดต้นทุนด้านโลจิสติกส์และส่งเสริมให้มีการทำประกันภัยขนส่งสินค้าภายในประเทศมากยิ่งขึ้น

นางจันทรา บูรณฤกษ์ อธิบดีกรมการประกันภัย ในฐานะกรรมการควบคุมบริษัท สหประกันชีวิต จำกัด กล่าวว่า คณะกรรมการควบคุมบริษัทได้กำหนดวันประชุมผู้ถือหุ้นสามัญประจำปี 2550 บริษัท สหประกันชีวิต จำกัด ในวันที่ 30 เมษายน 2550 เวลา 9.30 น. เป็นต้นไป ณ ห้องประชุมสันนิบาตสหกรณ์แห่งประเทศไทย ถนนพิชัย เขตดุสิต กทม. ซึ่งอยู่ในบริเวณเดียวกับที่ตั้งของบริษัท การประชุมครั้งนี้มีประเด็นสำคัญ 2 ประการ คือ การหารือผู้ถือหุ้นเกี่ยวกับการเพิ่มทุนของบริษัท เนื่องจากบริษัทมีเงินกองทุนไม่ครบถ้วนตามกฎหมาย ประเด็นที่สอง เกี่ยวกับการขอแก้ไขข้อบังคับของบริษัทเพื่อแก้ไขปัญหาภายในบริษัท ได้แก่ ข้อบังคับที่เกี่ยวกับผู้ถือหุ้น จะต้องไม่เป็นอุปสรรคต่อการโอนหุ้นและโครงสร้างของกรรมการ ควรจะต้องให้โอกาสแก่บริษัทในการนำผู้บริหารมืออาชีพมาช่วยพัฒนางานของบริษัทได้

เนื่องจากผู้ถือหุ้นบริษัทมีจำนวน 2,250 ราย แต่ละรายถือหุ้นเล็กน้อยประมาณ 0.1% ของจำนวนหุ้นทั้งหมด และกระจายไปทั่วประเทศ คณะกรรมการควบคุมบริษัทจึงได้ขอความร่วมมือไปยังกรมส่งเสริมสหกรณ์และสำนักงานประกันภัยจังหวัดทั่วประเทศได้ช่วยแจ้งให้สหกรณ์ผู้ถือหุ้นให้มาร่วมประชุมโดยพร้อมเพรียงกัน เพราะการประชุมครั้งนี้จะได้พิจารณาและหารือในส่วนที่เป็นผลประโยชน์โดยตรงของผู้ถือหุ้น และขอถือโอกาสนี้เชิญชวนสหกรณ์ทุกแห่งที่เป็นผู้ถือหุ้นบริษัท โปรดแต่งตั้งผู้แทนเข้าร่วมประชุมด้วย

เสริมความมั่นใจไปกับประกันสุขภาพแบบเหมาจ่าย คุ้มครอง โรคร้ายแรง โรคทั่วไป และอุบัติเหตุ เลือกแผนความคุ้มครองได้ตามต้องการตั้งแต่ 200,000 บาท ถึง 100,000,000 บาท สมัครได้ถึงอายุ 90 ปี คุ้มครองสุขภาพยาว ๆ ต่อเนื่องถึงอายุ 99 ปี* พร้อมลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 25,000 บาทต่อปี

ตัวอย่างค่าเบี้ย เพศหญิงอายุ 35 ปี สุขภาพสมบูรณ์แข็งแรง วันละไม่ถึง 59 บาท

เลือกความคุ้มครองสุขภาพ ดี เฮลท์ พลัส แผนความคุ้มครอง 5 ล้านบาท

โดยเป็นวงเงินต่อการรักษาแบบครั้งใดครั้งหนึ่ง และชำระเบี้ยประกันภัยรายปี

เลือกประกันสุขภาพเหมาจ่าย เลือกเมืองไทยประกันชีวิต

ไม่ว่าอาชีพอะไร ไลฟ์สไตล์แบบไหน

เมืองไทยประกันชีวิตเข้าใจทุกความต้องการในแบบคุณ

*เฉพาะสัญญาเพิ่มเติมการประกันภัยสุขภาพแบบ อีลิท เฮลท์ พลัส หรือแบบ ดี เฮลท์ พลัส

สัญญาเพิ่มเติมสุขภาพ ต้องซื้อแนบท้ายกรมธรรม์ที่มีผลบังคับอยู่
ความคุ้มครองของสัญญาเพิ่มเติมต้องไม่เกินระยะเวลาเอาประกันภัยของกรมธรรม์ประกันชีวิตที่สัญญาเพิ่มเติมนี้แนบท้าย
เบี้ยประกันภัยสามารถนำไปใช้สิทธิลดหย่อนภาษีได้ ทั้งนี้ หลักเกณฑ์เป็นไปตามที่กรมสรรพากร กำหนด

การพิจารณารับประกันภัยเป็นไปตามหลักเกณฑ์ของบริษัทฯ
เงื่อนไขเป็นไปตามมาตรฐานและความจำเป็นทางการแพทย์
เงื่อนไขเป็นไปตามที่ บมจ.เมืองไทยประกันชีวิตและธนาคารกำหนด
โปรดศึกษารายละเอียดความคุ้มครอง เงื่อนไข และข้อยกเว้นก่อนตัดสินใจทำประกันภัย

เสริมความมั่นใจด้วยประกันสุขภาพแบบเหมาจ่าย คุ้มครอง โรคร้ายแรง โรคทั่วไป และอุบัติเหตุ เลือกแผนความคุ้มครองได้ตามต้องการตั้งแต่ 200,000 บาท ถึง 100,000,000 บาท สมัครได้ถึงอายุ 90 ปี* คุ้มครองสุขภาพยาว ๆ ต่อเนื่องถึงอายุ 99 ปี* พร้อมลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 25,000 บาทต่อปี

ตัวอย่างค่าเบี้ย เพศหญิงอายุ 35 ปี วันละไม่ถึง 59 บาท

เลือกความคุ้มครองสุขภาพ ดี เฮลท์ พลัส แผนความคุ้มครอง 5 ล้านบาท

โดยเป็นวงเงินต่อการรักษาแบบครั้งใดครั้งหนึ่ง และชำระเบี้ยประกันภัยรายปี

เลือกประกันสุขภาพเหมาจ่าย เลือกเมืองไทยประกันชีวิต

Whatever’s Next, MTL’s NEXT to You

พร้อมพัฒนาในทุกด้าน เพื่อก้าวเดินไปพร้อมคุณ

เสริมความมั่นใจไปกับ เหมาจ่าย เอ็กซ์ตร้า คุ้มครองทั้งโรคร้ายแรง โรคระบาด โรคฝีดาษลิง โรคอุบัติใหม่ โรคทั่วไป และอุบัติเหตุ พร้อมดูแลค่ารักษาแบบเหมาจ่ายครึ่งล้าน(1) เบี้ยวันละไม่ถึง 42 บาท(2)

ซื้อความคุ้มครองเพิ่มได้ ทั้งชดเชยรายวัน คุ้มครองกรณีผู้ป่วยนอก OPD หรือคุ้มครองโรคร้าย Multiple CI ก็เลือกได้ตามใจ ไม่ต้องกังวลเรื่องค่ารักษาหรือสูญเสียรายได้หากต้องลาหยุด เลือกจ่ายแบบรายเดือนได้สบาย ๆ ตามที่ไหว

คุ้มครองแบบเหมาจ่ายตามจริง 500,000 บาท(1)
ค่าห้อง 4,000 บาทต่อวัน(1) และรับเพิ่ม 2 เท่า หากเข้าพักในห้อง ICU
คุ้มครองเยอะขนาดนี้ แต่จ่ายเบี้ยประกันภัยแบบสบายๆ เลือกจ่ายแบบรายเดือนก็ได้
ซื้อวันนี้ผ่อนค่าเบี้ยสบาย ๆ 0% นานสูงสุด 6 เดือน หรือรับเครดิตเงินคืนสูงสุด 13%

(1) สำหรับแผนความคุ้มครอง 3 โดยเป็นวงเงินต่อการรักษาแบบผู้ป่วยในครั้งใดครั้งหนึ่ง

(2) สำหรับผู้เอาประกันภัยเพศหญิง 30 ปี เลือกแผนความคุ้มครอง 3 และชำระเบี้ยประกันรายปี

โครงการเหมาจ่าย เอ็กซ์ตร้า เป็นชื่อทางการตลาดของสัญญาเพิ่มเติมการประกันสุขภาพ แบบ เอ็กตร้าแคร์ (N)
ความคุ้มครองของสัญญาเพิ่มเติมต้องไม่เกินระยะเวลาเอาประกันภัยของกรมธรรม์ประกันชีวิตที่สัญญาเพิ่มเติมนี้แนบท้าย
เบี้ยประกันภัยสามารถนำไปใช้สิทธิหักลดหย่อนภาษีได้ ทั้งนี้ หลักเกณฑ์เป็นไปตามที่กรมสรรพากร กำหนด

เงื่อนไขความคุ้มครองเป็นไปตามที่ระบุไว้ในกรมธรรม์
การพิจารณารับประกันภัยเป็นไปตามหลักเกณฑ์ของบริษัทฯ
เงื่อนไขเป็นไปตามมาตรฐานและความจำเป็นทางการแพทย์

เงื่อนไขเป็นไปตามที่ บมจ.เมืองไทยประกันชีวิตและธนาคารกำหนด
โปรดศึกษารายละเอียดความคุ้มครอง เงื่อนไข และข้อยกเว้นก่อนตัดสินใจทำประกันภัย

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *